" รู้ทันเซลลูไลท์ กำจัดได้แค่เปลี่ยนพฤติกรรม !!!
เซลลูไลท์ คือ การสะสมของ ไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ ที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกัน จนเป็น ชั้นๆคลื่นๆ อยู่ในเนื้อเยื่อ ที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์ จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถ ขับไขมัน และ ของเสียออกไปได้ จนเกิด การสะสมของ ไขมันที่เป็น ของเหลว และ สารพิษ เหล่านี้ และ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ ที่ดูน่าเกลียดใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้มในที่สุดบางคนจึงเรียกผิวที่มี เซลลูไลท์ ว่า เป็นผิวส้ม
ยังไม่มีรายงานการวิจัยที่ชัดเจนว่า อาหาร หรือสารใดที่ช่วยลดเซลลูไลต์ได้โดยตรง แต่เชื่อกันว่าอาหารการกินและแนวทางการกินที่ช่วยส่งเสริมระบบการเผาผลาญอาหาร การไหลเวียนเลือด และขับล้างสารพิษตกค้าง มีส่วนช่วยลดการสะสมของเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินได้ แม้มันจะเป็นวิธีการทางอ้อมในการจัดการกับเซลลูไลต์ แต่การกินเพื่อมุ่งผลลัพธ์เหล่านี้ก็เป็นผลดีกับสุขภาพ และรูปร่างทรวดทรงที่คุณห่วงใย ถ้าทำได้ย่อมเป็นผลดีกับตัวเอง ความจริงก็คือการกำจัดเจ้าผิวส้มที่มีประสิทธิภาพและให้ผลถาวรก็ค่อ การควบคุมอาหารที่ถูกวิธี และ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้นเอง
ทานให้ครบหมู่และหลากหลาย เป็นหลักครอบจักรวาลที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ คือ กินอาหารให้ครบหมวดหมู่และหลากหลาย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันลง และพยายามเน้นหนักที่ผักผลไม้ให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิต และกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีน มากกว่าการย่อยไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากัน แต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้ สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผล ควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย
ลดให้อาหารเซลลูไลต์
เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่
-
อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
-
น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง
-
กาเฟอีนจากน้ำชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน ทำให้ร่างกายขาดน้ำ แม้แต่กาแฟที่อ้างว่าดื่มแล้วช่วยลดความอ้วนก็ควรเลี่ยงค่ะ ยิ่งถ้าปกติเป็นคนไม่ดื่มกาแฟอยู่แล้วยิ่งไม่ควรซื้อมาดื่ม เพราะปกติเราไม่ได้ดื่ม แต่พอหันมาดื่ม ร่างกายก็ต้องรับสารให้ความหวานเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ แต่ถ้าเป็นคนดื่มชา กาแฟเป็นนิสัย แนะนำให้ค่อย ๆ ปรับมาเป็นชาเขียว หรือชาผลไม้ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
-
อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้
-
อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น
-
แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย
เน้นอาหารธรรมชาติ
ปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักผลไม้สด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย
ดื่มน้ำให้มาก
น้ำเป็นส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมันและการไหลเวียนของเลือด ของเสียในร่างกาย ถ้าร่างกายขาดน้ำ การทำงานของระบบเหล่านี้ก็จะคล่องตัวน้อยลง ดังนั้นควรดื่มน้ำเปล่าบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ลองใช้สูตร 1 2 3 3 1 คือดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วหลังตื่นนอน 2 แก้วในตอนสาย 3 แก้วสำหรับช่วงบ่าย และอีก 3 แก้วสำหรับช่วงเย็น สุดท้าย 1 แก้วก่อนนอน ในปัจจุบันมักมียา อาหารเสริม และนวัตกรรมตัวช่วยมากมายที่ออกมาบอกถึงสรรพคุณในการลดเซลลูไลท์ มีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล แต่อย่าลืมนะคะว่า เซลลูไลท์นั้นเกิดขึ้นในร่างกายเรา ถ้าเราเองไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิต ต่อให้ยาดีวิธีการดีแค่ไหนมันก็คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สุดท้ายก็สะสมและกลับมาเป็นหนามแทงใจอยู่ดี ดังนั้นจงมีสติและเลือกวิธีการที่แก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่าค่ะ